เครื่องฟอกอากาศโดยทั่วไปจะมีการบอกพื้นที่การใช้งานที่เหมาะสมกับเครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่น โดยขนาดพื้นที่ระบุควรสัมพันธ์กับปริมาตรอากาศที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นควรมีการดูรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่ แรงลมของเครื่องฟอกอากาศ เช่น 500 CFM, 1,000 CFM (ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที) โดยถ้าแรงลมของเครื่องฟอกอากาศสูงก็จะสามารถมีอัตราการเปลี่ยนแปลงอากาศได้ดีกว่า โดยต้องเหมาะสมกับพื้นที่การใช้งาน เช่น สำนักงาน ควรมีอัตราการเปลี่ยนแปลงอากาศอยู่ที่ 5 รอบต่อชั่วโมง
ปัจจุบันมีการบอกประสิทธิภาพการกรองของเครื่องฟอกอากาศตามมาตรฐานของ AHAM ที่เรียกว่า ค่า Clean Air Delivery Rate (CADR) ซึ่งจะมีหน่วยเป็น CFM เป็นค่าที่บอกประสิทธิภาพในการลดอนุภาคที่กระจายอยู่ในอากาศ โดยถ้าค่า CADR ยิ่งสูง แสดงว่ามีประสิทธิภาพในการกรองอากาศสูงด้วย ผู้ซื้อควรคำนึงถึงปริมาณนี้ด้วยนอกเหนือจากราคา และพื้นที่การกรอง
นอกจากนี้ควรพิจารณาชนิดของแผ่นกรองอากาศว่าเป็นแผ่นกรองอากาศชนิดใด โดยแต่ละชนิดจะมีประสิทธิภาพในการกรองที่แตกต่างกันตาม CLASS ของแผ่นกรองอากาศ
เครื่องฟอกอากาศมีการออกแบบให้มีการกรองอากาศด้วยขั้นตอนการกรองอากาศที่หลากหลาย ได้แก่
-แผ่นกรอง Pre-filter มีหน้าที่กรองอนุภาคขนาดใหญ่
-แผ่นกรอง HEPA/ULPA มีหน้าที่กรองอนุภาคขนาดเล็ก ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับชนิดของแผ่นกรอง
-แผ่นกรองซีโอไลท์ มีหน้าที่ดูดซับแก๊ส และสารเคมีต่าง ๆ
-แผ่นกรอง ACTIVATED CARBON มีหน้าที่ดูดซับแก๊ส สารเคมี กลิ่น ไอระเหยของสารเคมี และควัน
-หลอด UV มีหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคในอากาศ
-ไอออน มีหน้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกรองอนุภาค ทำให้อนุภาคในอากาศตกลงบน แผ่นกรองอากาศ
-โอโซน มีหน้าที่กระบวนการแตกตัวของอะตอมออกซิเจน และรวมตัวเป็นโมเลกุลใหม่
ให้ผลในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสต่างๆ อย่างได้ผลรวมถึง
การสลายกลิ่น ไอระเหยของสารเคมี แก๊สพิษต่างๆ
แผ่นกรองอากาศถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของกรองอากาศ ดังนั้นผู้ซื้อควรพิจารณาในรายละเอียด โดยอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการกรองอากาศ คือ พื้นที่ของแผ่นกรองอากาศ ถ้าแผ่นกรองอากาศมีพื้นที่กรองกรองมากนั่นหมายความว่าสามารถดักจับอนุภาคได้มากขึ้น