การกรองอากาศในปัจจุบันมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากปัญหามลพิษในอากาศและโรคที่เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อมลพิษ การใช้เทคโนโลยีการกรองที่หลากหลายจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ระบบการกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงมักจะประกอบด้วยหลายเทคโนโลยี เช่น ESP (Electrostatic Precipitator), HEPA (High Efficiency Particulate Air), Activated Carbon, TiO2 (Titanium Dioxide), และ UV (Ultraviolet Light) ซึ่งจะทำงานประสานกันในการกำจัดมลพิษและเชื้อโรคในอากาศ
การทำงานร่วมกันของระบบ ESP, TiO2 และ UV , Activated Carbon, HEPA ทำงานประสานกันในหลายขั้นตอนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:
1.Aluminum pre filter : ดักจับและป้องกันฝุ่นละอองขนาดใหญ่ ถอดล้างน้ำได้ตลอดอายุการใช้งาน
2.ระบบ Electrostatic Collecting cell : ดักจับและทำลายฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ถึง 0.01 ไมครอน ถอดล้างน้ำได้ตลอดอายุการใช้งาน
3.UV-C : ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ เห็ด รา และสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ทั้ง DNA และ RNA Virus
4.Titanium dioxide filter ทำงานร่วมกับ UV-C ทำให้เกิด PCO : ช่วยทำลายสารอินทรีย์ที่เป็นอันตราย (VOC)
5.Activated carbon filter : ดูดซับสารเคมีและกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ยังหลงเหลืออยู่ รวมทั้งแก๊สพิษต่างๆ ได้
6.H13 HEPA filter : ช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นด้วยประสิทธิภาพการกรอง 99.99 % @ 0.3 ไมครอน
สรุป
การใช้ระบบกรองอากาศที่รวม ESP, HEPA, Activated Carbon, TiO2 และ UV เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการมลพิษในอากาศ โดยแต่ละเทคโนโลยีมีหน้าที่เฉพาะในการกำจัดอนุภาคและเชื้อโรค ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้อากาศที่สะอาด แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกิดจากมลพิษในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งอ้างอิง
Environmental Protection Agency (EPA)
https://www.epa.gov/
World Health Organization (WHO)
https://www.who.int/
American Society of Heating, Refrigerating and Air-Conditioning Engineers (ASHRAE)
https://www.ashrae.org/